โรคต้อกระจก Cataract

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Posted by noobo



ต้อกระจก เป็นภาวะที่แก้วตาหรือเลนส์ตา
(lens) ภายในลูกตามีลักษณะขุ่นขาวขึ้น
จากปกติที่มีลักษณะโปร่งใสเหมือนกระจก เมื่อแก้วตาขุ่นขาวก็จะมีลักษณะทึบแสง ไม่ยอมให้แสงผ่านเข้าสู่ลูกตาไปรวมตัว
ที่จอตา (เรตินา) ทำให้เกิดอาการตาฝ้า
ฟาง หรือมืดมัว
สาเหตุ
1. ส่วนใหญ่ (ประมาณ 80%) เกิดจากภาวะเสื่อมตามวัย คนที่มีอายุมากกว่า
60 ปี จะเป็นต้อกระจกแทบทุกคน แต่อาจเป็นมากน้อยต่างกันไป เรียกว่า ต้อกระจกในคนสูงอายุ
(senile cataract)
2. ส่วนน้อยอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น
เป็นมาแต่กำเนิด ซึ่งจะพบในทารกที่เป็นหัดเยอรมันโดยกำเนิด (ดูโรค หัด
เยอรมัน)
เกิดจากการได้รับบาดเจ็บ หรือกระทบกระเทือนที่ตาอย่างรุนแรง
เกิดจากความผิดปกติของตา เช่น ม่านตาอักเสบ, ต้อหิน
เกิดจากยา เช่น การใช้ยาหยอดตาที่เข้าสเตอรอยด์ หรือกินเสเตอรอยด์นาน ๆ
การใช้ยาลดความอ้วนบางชนิด เป็นต้น
เกิดจากการถูกรังสีที่บริเวณตานาน ๆ เช่น คนที่เป็นมะเร็งที่เบ้าตาเมื่อรักษา
ด้วยรังสีบ่อย ๆ ก็ทำให้เกิดต้อกระจกได้
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ก็มักจะเกิดต้อกระจกก่อนวัยได้
ภาวะขาดอาหาร ก็อาจทำให้เกิดต้อกระจกได้เร็วกว่าปกติ

อาการและอาการแสดงของต้อกระจกมีดังนี้

การมองเห็นของตาปกติ

การมองเห็นของคนตาเป็นต้อกระจก

  • มองไม่ชัด
  • มองกลางคืนไม่ชัด
  • เห็นวงรอบแสงไฟ
  • อ่านหนังสือต้องใช้แสงจ้าๆ
  • ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย


สิ่งตรวจพบ
การตรวจดูตา จะพบแก้วตามีลักษณะขุ่นขาว เวลาใช้ไฟส่อง ผู้ป่วยจะรู้สึก
ตาพร่า

อาการแทรกซ้อน
เมื่อต้อสุกและไม่ได้รับการผ่าตัด จะทำให้ตาบอดสนิท ในบางคนแก้วตา
อาจบวม หรือหลุดลอยไปอุดกั้นทางระบายของของเหลวในลูกตา ทำให้ความ
ดันภายในลูกตาสูงขึ้น จนกลายเป็นต้อหินได้ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาอย่าง
รุนแรง

การรักษา
ในรายที่เริ่มเป็นน้อย ๆ ไม่ต้องทำอะไร รอจนกว่าต้อสุก จึงแนะนำไปผ่าตัด
ที่โรงพยาบาล ยกเว้นทารกที่เป็นต้อกระจกมาแต่กำเนิด อาจต้องผ่าตัดเมื่อ
อายุได้ 6 เดือน เพื่อป้องกันมิให้ประสาทตาเสื่อม
การผ่าตัด จะใช้ยาชาฉีดไม่ให้ปวด และใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หลังผ่าตัด
ผู้ป่วยควรนอนนิ่ง ๆ ประมาณ 12-24 ชั่วโมง ก็ให้ลุกนั่ง และเข้าห้องน้ำได้ พักอยู่ใน
โรงพยาบาลประมาณ 5-7 วัน ก็กลับบ้านได้ ควรนัดผู้ป่วยมาตรวจทุก
2 สัปดาห์และมาตัดแว่นหลังผ่าตัดประมาณ 3 เดือน เมื่อสวมแว่น ผู้ป่วยจะ
สามารถมองเห็นได้ชัดเหมือนคนปกติ
ในปัจจุบันมีวิธีการผ่าตัดแบบใหม่ เช่น การผ่าตัดสลายต้อด้วยคลื่นความถี่สูง
(phacoemulsification) และฝังเลนส์เทียมเข้าไปแทนเลนส์จริงในลูกตา
(ไม่ต้องตัดแว่นใส่) ใช้เวลาน้อย และไม่ต้องนอนพักในโรงพยาบาล แต่ค่าใช้
จ่ายค่อนข้างแพง

การป้องกัน

  • งดสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงแสงอาทิตย์


ข้อแนะนำ
1. อาการตามัว อาจมีสาเหตุอื่น นอกจากต้อกระจก ควรซักถามอาการ และ
ตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่ใช่เกิดจากภาวะร้ายแรง เช่น ต้อหิน ดูแผนภูมิประกอบ
2. การรักษาต้อกระจกมีอยู่วิธีอยู่วิธีเดียว คือ การผ่าตัดเอาแก้วตาออก (lens
extraction) ไม่มียาที่ใช้กินหรือหยอดแก้อาการของต้อกระจกได้
3. ต้อกระจกที่พบในคนอายุน้อย หรือวัยกลางคนอาจมีสาเหตุจากเบาหวาน
หรืออื่น ๆ ได้ ควรแนะนำไปตรวจที่โรงพยาบาล
4. ผู้ป่วยที่เป็นต้อกระจกอย่าไปรักษาตามแบบพื้นบ้านซึ่งบางคนยังนิยม เพราะ
กลัวผ่าตัดหรือกลัวเสียค่าใช้จ่ายมาก หมอพื้นบ้านจะทำการเขี่ยให้แก้วตา
หลุดไปด้านหลังของลูกตา แสงก็จะผ่านเข้าไปในตาได้ ทำให้มองเห็นได้ทันที แต่ไม่ช้าจะภาวะแทรกซ้อนตามมาเช่น ต้อหิน เลือดออกในวุ้นลูกตา หรือ
ประสาทตาเสื่อมทำให้ตาบอดอย่างถาวร

เป็นต้อกระจก อย่าเสี่ยงผ่าตัดไปรักษากับหมอพื้นบ้านอาจทำให้ตาบอดสนิท

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือ อายุพบว่าผู้ที่อายุมากกว่า 65 ปีจะมีต้อกระจกอยู่แล้วบางส่วน ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆได้แก่

  • โรคเบาหวาน
  • ประวัติครอบครัวเป็นต้อกระจก
  • เคยได้รับอุบัติเหตุที่ตา
  • การใช้ยาบางชนิดเช่น steroid
  • ติดสุรา
  • เจอแสงแดดมาก
  • ต้องสัมผัสรังสีปริมาณมาก
  • สูบบุหรี่

การคัดกรอง

  • อายุ 40-65 ปีให้ตรวจตาทุก 2-4 ปี
  • อายุมากกว่า 65 ปี ให้ตรวจทุก 1-2 ปี
  • ตรวจตาเมื่อมีอาการเปลี่ยนแปลง

0 ความคิดเห็น: